การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 กับ 2550
การมีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรงของประชาชน (Direct Political Participation of the Public) จึงเป็นหัวใจของการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะในสังคมประชาธิปไตยแบบตะวันตก แต่มิได้หมายความว่า ประชาชนทั้งหมดจะต้องประสงค์ที่จะมีส่วนร่วมในทางการเมืองทั้งหมด เพราะยังมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่พอใจเป็นผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองมากกว่าจะเข้ามีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรง และในบางประเทศหรือบางสถานการณ์นั้น หากเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทางการเมืองมากเกินไป ก็อาจจะไม่เกิดผลดีได้ เนื่องจากในบริบทของการมีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรงนั้น ประชาชนจะมีสิทธิส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรง ทั้งรูปแบบหรือวิธีการ และขอบเขต กลุ่ม หรือจำนวนของประชาชนผู้มีสิทธิส่วนร่วมในทางการเมืองได้ดีมากน้อยเพียงใดนั้น ยังขึ้นอยู่กับระดับของพัฒนาการทางการเมือง ความตื่นตัวในทางการเมือง และวุฒิภาวะทางการเมืองหรือภูมิปัญญาทางการเมืองของรัฐนั้น ๆ เป็นสำคัญด้วย
การมีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรงของประชาชน จึงมิใช่มีเพียงการออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนหรือการมีส่วนร่วมในทางการเมืองรูปแบบอื่นรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเท่านั้น และประชาชนผู้มีสิทธิส่วนร่วมในทางการเมืองก็มิได้จำกัดว่าต้องเป็นชายหรือหญิง หรือต้องอายุ 20 ปีบริบูรณ์ หรือต้องไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ หรือต้องสำเร็จการศึกษาระดับใดระดับหนึ่งเท่านั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 นับตั้งแต่กรอบเบื้องต้นของร่างรัฐธรรมนูญ เจตจำนงของสภาร่างรัฐธรรมนูญ สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจึงล้วนแต่มีผลให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในทางการเมืองทุกระดับในกระบวนทางการเมืองมากยิ่งขึ้น และยังได้ขยายการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐาน (Basic Rights or Fundamental Rights) สิทธิในการแสดงความคิดเห็น โดยการพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เป็นต้น และสิทธิของพลเมือง (Citizen’s Rights) เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองโดยตรงของประชาชนโดยเฉพาะการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 2550 ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทั้งนี้ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองตามบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เริ่มตั้งแต่กระบวนการคัดเลือกผู้เข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติและบริหารราชการแผ่นดินโดยการเลือกตั้ง การสร้างกลไกการตรวจสอบอำนาจรัฐ โดยการจัดตั้งองค์กรอิสระให้มีหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐ และการสร้างกลไกมาตรการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน รวมทั้งเพิ่มสิทธิของประชาชนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการเพิ่มสิทธิประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
แต่อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นที่น่าศึกษา คือ ประเทศไทยได้รับแนวคิดการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาจากต่างประเทศ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่มีประเด็นที่เรารับแนวคิดดังกล่าวมาใช้ทั้งหมดหรือบางส่วนและประเทศไทยนำรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบใด ในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย เมื่อพิจารณาตามคำนิยามในหัวข้อของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 แล้วปรากฏว่า การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนหรือศึกษาจากแนวคิดการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 กับรายงานประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 พบว่าเรานำแนวคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบกึ่งทางตรงหรือระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมมาใช้กับให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่มีลักษณะแตกต่างไปจากหลักการแนวคิดการเข้าชื่อเสนอกฎหมายประเทศเยอรมัน ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่ใช้หลักคิดการปกครองประชาธิปไตยแบบทางตรงที่มีอิทธิพลต่อการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประเทศไทย ดังนี้
1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
โดยปกติการริเริ่มเข้าชื่อเสนอกฎหมายจะมาจากฝ่ายการเมือง คือ ตัวแทนประชาชน (ผู้แทนราษฎร) คณะรัฐมนตรี (ฝ่ายบริหาร) หรือข้าราชการประจำหน่วยงานซึ่งรับผิดชอบในเรื่องนั้นอยู่ เนื่องจากปฏิบัติงานในหน่วยงานนั้นย่อมที่ทราบถึงปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงานเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้การริเริ่มการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมักเป็นไปเพื่อตอบสนองปัญหาของหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการปฏิบัติงานตามกฎหมายนั้นๆ ส่วนการริเริ่มจากฝ่ายการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนก็จะมีปรากฏบ้าง มักจะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง
ซึ่งผู้วิจัยจะทำการศึกษาการมีสวนร่วมทางการเมืองโดยตรงในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ดังนี้
1.1 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เมื่อพิจารณาศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติรับรองการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ไว้ในมาตรา 170 ดังนี้
1.1.1 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา
บุคคลผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้กำหนดรับรองไว้ ดังนี้
“ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 และหมวด 5 แห่งรัฐธรรมนูญนี้
คำร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติเสนอมาด้วย
หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”
จากบทบัญญัติมาตรา 170 พบว่า รัฐธรรมนูญกำหนดให้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นจะต้องเป็น “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” เท่านั้น และเมื่อพิจารณา “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 ที่ออกตามความรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 3 “ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หมายความว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยไทย”
เมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ต่อไปพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ในมาตรา 105 และมาตรา 106 ดังนี้
“มาตรา 105 บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
(1)มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทย โดยการแปลงสัญชาติต้องได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี
(2)มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี บริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง
(3)มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้ง
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่นอกเขตเลือกตั้งตาม มาตรา 103 ที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง หรือมีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรย่อมมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา”
“มาตรา 106 บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้งเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ
(1) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(2) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช
(3) ต้องคุมอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
(4) อยู่ในระหว่างถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง”
แสดงว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ให้สิทธิแก่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยที่อยู่ในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักรไทยและบุคคลที่อยู่นอกเขตเลือกตั้งหรือมีชื่ออยู่ในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่า 90 วัน นับถึงวันเลือกตั้งสามารถที่จะใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั้งนี้เป็นไปตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ถือเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ โดยจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 170 ได้กำหนดไว้ คือ 50,000 คนขึ้นไปจึงมีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้
1.1.2 ประชาชนผู้มีสิทธิเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
ในระดับท้องถิ่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้กำหนดไว้
ในมาตรา 287 ว่า
“มาตรา 287 ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใดมีจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นมีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นได้
คำร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดทำร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเสนอมาด้วย
หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”
เมื่อพิจารณาแล้วบุคคลที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัตินั้นจะต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น หากประชาชนที่อยู่เขตเมืองพัทยา ผู้ที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติเมืองพัทยา จะต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเมืองพัทยา สมมุติว่าเมืองพัทยามีจำนวนประชากรผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง 49,846 คน หากต้องการเสนอข้อบัญญัติเมืองพัทยาเพื่อให้สภาเมืองพัทยาพิจารณา จะต้องมีจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเมืองพัทยาเข้าชื่อกันไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง คือ 24,923 คน เป็นต้น
1.2 ประเภทกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ประชาชนเข้าชื่อเสนอตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540
ประเภทกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ประชาชนเข้าชื่อเสนอตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2540 มีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้
1.2.1 กฎหมายธรรมดา
มาตรา 170 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สิทธิเลือกตั้ง เข้าชื่อเสนอกฎหมายประเภทของกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติ) นั้นจะเสนอได้แต่ในหมวด หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย กับ หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐเท่านั้น
1.2.2 ข้อบัญญัติท้องถิ่น
มาตรา 287 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 กำหนดให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาได้ แต่ต้องไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
1.3 รูปแบบของร่างกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
รูปแบบของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 แยกอธิบายได้ 2 ลักษณะดังนี้
1.3.1 รูปแบบของร่างกฎหมายธรรมดา
รูปแบบของร่างกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติติ) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 170 กำหนดว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คน เข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาให้พิจารณากฎหมายตามที่กำหนดในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยกับ หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยในวรรคสองกำหนดว่าคำร้องดังกล่าวนี้จะต้องจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติเข้ามาด้วย ซึ่งในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 ที่ออกตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ได้กำหนดขยายรูปแบบของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอประกอบคำขอให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย ไว้ในมาตรา 5 คือ
“มาตรา 5 บุคคลผู้มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามมาตรา 170 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 จะต้องเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ในวันที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย
กฎหมายที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาต้องจัดทำในรูปแบบร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งต้องมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยกับหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและต้องมีบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบในการเสนอกฎหมาย รวมทั้งต้องมีบทบัญญัติแบ่งเป็นมาตราที่ชัดเจน เพียงพอที่จะเข้าใจว่ามีความประสงค์จะตรากฎหมายในเรื่องใดและมีหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายนั้นอย่างไร
เพื่อประโยชน์ในการพิจารณากฎหมายของรัฐสภา การเสนอกฎหมายอาจจัดทำบันทึกสรุปสาระสำคัญและคำชี้แจงความมุ่งหมายเพียงพอที่จะเข้าใจเหตุผลที่กำหนดไว้ในแต่ละมาตราก็ได้”
เมื่อพิจารณาตามาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 พบว่ากฎหมายได้กำหนดเกณฑ์ของรูปแบบของร่างกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายต่อรัฐสภา โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายจะต้องเสนอเป็นร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) อย่างเป็นทางการ (Formulated Initiative) เช่นเดียวกับประเทศเยอรมัน ซึ่งจะต้องประกอบด้วยดังนี้
1.ร่างกฎหมาย ที่จะเสนอต่อรัฐสภาเพื่อพิจารณานั้นจะต้องจัดทำให้ในรูปแบบของร่างพระราชบัญญัติ
2.จะต้องเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติไว้ใน หมวด 3 เรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยกับ หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
3.จะต้องมีบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบในการเสนอร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)
4.จะต้องมีบทบัญญัติมาตรา ชัดเจนเพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่ามีความประสงค์จะตรากฎหมายในเรื่องใด
5.จะต้องมีหลักเกณฑ์และวิธีการในการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
6.อาจจัดทำบันทึกสรุปสาระสำคัญและคำชี้แจงความมุ่งหมายของการกำหนดหลักการในแต่บทบัญญัติของกฎหมาย ที่เสนอให้เพียงพอที่จะเข้าใจเหตุผลที่กำหนดไว้ในแต่มาตราได้
1.3.2 รูปแบบของข้อบัญญัติท้องถิ่น
รูปแบบของข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถเสนอได้นั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 มาตรา 287 วรรคสองได้กำหนดว่าต้องจัดทำเป็นร่างข้อบัญญัติเข้ามาด้วย และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542 ที่ออกตามความรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 5 ได้กำหนดขยายรายละเอียดของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอจะต้องประกอบด้วย ดังนี้
1.ชื่อ ที่อยู่และลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อกันทุกคน พร้อมทั้งสำเนาบัตรประชาชนที่หมดอายุหรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้
2.ร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นซึ่งต้องมีข้อกำหนดที่ชัดเจนเพียงพอได้ว่ามีความประสงค์จะตราข้อบัญญัติท้องถิ่นในเรื่องใดที่อยู่ในอำนาจหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น โดยอาจมีสรุปสาระสำคัญและคำชี้แจงความมุ่งหมายของการกำหนดหลักการในแต่ละข้อกำหนดของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอให้เพียงพอที่จะเข้าใจ เหตุผลที่กำหนดไว้ในแต่ละข้อกำหนดด้วยก็ได้
3.รายชื่อผู้แทนของผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น ที่มีอำนาจดำเนินการที่เกี่ยวกับการเสนอและพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่น
4.คำรับรองของผู้แทนของผู้ที่มีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นในเรื่องเกี่ยวกับเอกสาร หลักฐานที่ได้ยื่นว่า ผู้เข้าชื่อทุกคนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองสวนท้องถิ่นนั้นและเป็นผู้ร่วมลงลายชื่อด้วยตนเอง
ซึ่งหากผู้ร่วมลงลายมือชื่อโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นแล้ว กฎหมายถือว่า การเข้าชื่อนั้นมีผลสมบูรณ์และจะถอนการเข้าชื่อในภายหลังอีกมิได้
1.4 หลักเกณฑ์และวิธีการในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
หลักเกณฑ์และวิธีการในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 แยกพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ หลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดาโดยประชาชน กับหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นของประชาชนผู้สิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนี้
1.4.1 หลักเกณฑ์และวิธีการในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดาโดยประชาชน
หลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดาโดยประชาชนนั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 ที่ออกตามความมาตรา 170 รัฐธรรมนูญนี้ ได้กำหนดวิธีการในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ในมาตรา 6 ว่า
“มาตรา 6 วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้อาจกระทำโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเองหรืออาจร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ใดร่วมลงมือในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยถูกต้องตามพระราชบัญญัติแล้ว ให้ถือว่าการเข้าชื่อนั้นมีผลและจะถอนการเข้าชื่อในภายหลังอีกมิได้”
เมื่อพิจารณาตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 กำหนดทางเลือกในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ 2 ทาง คือ การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งดำเนินการเองกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการดำเนินการของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนี้
1.การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งดำเนินการเอง ซึ่งกำหนดไว้มาตรา 7 และมาตรา 8 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 ดังนี้
1)ในกรณีผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อเสนอกฎหมายดำเนินการเองครบจำนวน 50,000 คนแล้วให้ยื่นต่อประธานรัฐสภาโดยจะต้องแนบเอกสารเอกสารดังต่อไปนี้
(1) ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอให้รัฐสภาพิจารณา ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้มาตรา 5
(2)แนบเอกสารแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ ชื่อ ที่อยู่และลายมือชื่อ ปิดประกาศรายชื่อในเขตท้องที่ที่ผู้คัดค้านมีชื่อยู่ เมื่อพ้นกำหนดเวลาการคัดค้านแล้ว ให้ถือว่ารายชื่อของผู้ที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายที่ไม่มีการคัดค้านเป็นรายชื่อที่ถูกต้อง
2)เมื่อรวบรวมลายมือชื่อเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ดำเนินการรวบรวมลายมือชื่อยื่นเรื่องเสนอต่อประธานรัฐสภาพร้อมเอกสารตามที่ได้กำหนดของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายแบบ ข.ก.1)และผู้แทนการเสนอแบบ ข.ก.3 และแบบแสดงบัญชีรายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายแบบ ข.ก.2 ตามที่ประธานรับสภากำหนด พร้อมทั้งสำเนาบัตรประชาชน บัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุหรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแสดงตนได้ พร้อมทั้งสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เข้าร่วมกันเข้าชื่อทุกคนด้วย
3)เมื่อประธานได้รับเรื่องการเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้วให้ประธานจัดให้มีการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร โดยการตรวจสอบนี้จะเป็นการตรวจสอบว่าร่างกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเสนอนั้นเป็นเรื่องที่อยู่ในหมวด 3 หรือ หมวด 5 แห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากเห็นว่าถูกต้องให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการปิดประกาศรายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ในท้องที่ที่ผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
การเสนอร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)นั้นจะต้องไปเสนอไปที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบความถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ตรวจดูรายชื่อ การตรวจดูว่าร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) นั้นมีหลักการเดียวกันหรือคล้ายกันกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่ถูกยับยั้งไว้ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 175 หรือไม่ การตรวจดูเนื้อหาและรูปแบบของร่างว่ามีการแบ่งเป็นรายมาตราและมีบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบตามที่ข้อบังคับประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2544 กำหนดไว้หรือไม่ แล้วจึงบรรจุร่างนั้นเข้าระเบียบวาระการประชุมต่อไป ดังนั้น สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้คอยตรวจสอบให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องเทคนิคการทำร่างกฎหมายประชาชนทั่วไปอาจไม่มีความเข้าใจดีพอ จึงอาจส่งผลให้ร่างกฎหมายนั้นเป็นร่างกฎหมายที่ไม่ถูกต้องจนทำให้ไม่ได้รับการพิจารณาจากรัฐสภา
4)ในกรณีที่ผู้ใดเห็นว่ามีรายชื่อของตนในบัญชีรายชื่อดังกล่าวโดยที่ตนเองไม่ได้ร่วมลงลายมือชื่อด้วย สามารถคัดค้านเพื่อให้มีการขีดฆ่าชื่อของตนออกจากบัญชีรายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมาย แบบ ข.ก. 4 ต่อประธานรัฐสภาหรือบุคคลที่ประธานรัฐสภาแต่งตั้งภายในเวลา 20 วัน นับแต่วันประกาศรายชื่อในเขตท้องที่ที่ผู้คัดค้านมีชื่ออยู่ เมื่อพ้นกำหนดเวลาคัดค้านเป็นรายชื่อที่ถูกต้อง
5)เมื่อประธานรัฐสภาตรวจสอบเอกสารแล้วพบว่ารายชื่อครบจำนวน 50,000 คน ให้ปรานรัฐสภาดำเนินการให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)นั้นต่อไป แต่หากมีรายชื่อไม่ครบตามจำนวนตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ประธานรัฐสภาจะต้องแจ้งให้ผู้แทนการเสนอกฎหมายทราบเพื่อดำเนินการจัดให้การเข้าชื่อเสนอกฎหมายเพิ่มเติมให้ครบจำนวน ภายในเวลา 30 วัน และหากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วและยังไม่มีการเสนอรายชื่อเพิ่มเติมจนครบจำนวน 50,000 คน ประธานรัฐสภาก็จะต้องจำหน่ายเรื่องออกไป
2. การเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการดำเนินการของคระกรรมการการเลือกตั้ง พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2542 ได้กำหนดวิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งไว้ในมาตรา 9 ถึงมาตรา 14 มีรายละเอียดดังนี้
1) ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ตั้งแต่จำนวน 100 คน ขึ้นไปที่มีความประสงค์จะเข้าชื่อกันเสนอร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) มีสิทธิยื่นคำขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชน สามารถยื่นคำขอต่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง พร้อมทั้งจัดทำร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณาแนบไปด้วย
2) เมื่อประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับคำขอดังกล่าวแล้ว จะต้องดำเนินการจัดส่งร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) และเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งในแต่ละจังหวัด เพื่อดำเนินการปิดประกาศให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดทราบว่ามีการเสนอกฎหมายในเรื่องใดและให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีความประสงค์จะเข้าร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ลงชื่อตามระยะเวลา และสถานที่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้กำหนด แต่กำหนดระยะเวลาการเข้าชื่อต้องไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศ
3)ในระหว่างระยะเวลาที่กำหนดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิที่จะเข้าร่วมเสนอกฎหมายในสถานที่ที่กำหนดไว้ในจังหวัดที่ตนมีสิทธิเลือกตั้ง โดยในการเข้าชื่อนั้นผู้ที่ประสงค์จะร่วมเข้าชื่อจะต้องไปแสดงตนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้ง พร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือหลักฐานอื่นใด ตามที่กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งได้ทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้แสดงตนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยถูกต้องจะต้องจัดให้ผู้นั้นกรอกข้อความและลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
4) คณะกรรมการเลือกตั้งสามารถที่จะกำหนดสถานที่ในการเข้าชื่อเสนอเสนอกฎหมายเพื่อให้บุคคลผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถจะใช้สิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายในถิ่นที่บุคคลนั้นมีที่อยู่นอกเหนือจากการกำหนดสถานที่ในแต่ละจังหวัดได้ หากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เป็นผู้ริเริ่มก่อการร้องขอ
5)เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้แล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งทำหน้าที่รวบรวมแบบพิมพ์ที่มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งการตรวจสอบความถูกต้องดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบ หากเห็นว่าถูกต้องให้แจ้งแก่ตัวแทนผู้ยื่นคำขอ พร้อมทั้งจัดทำบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายทั้งหมด พร้อมทั้งประธานกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดส่งร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)และเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้ร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายไปยังประธานรัฐสภา
6)เมื่อประธานรัฐสภาได้รับเรื่องเห็นว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์ต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ประธานรับสภาจะต้องดำเนินการให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)นั้นต่อไป ในกรณีที่มีการเข้าชื่อไม่ครบจำนวน 50,000 คน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจำหน่ายเรื่องออกไป
1.4.2 หลักเกณฑ์และวิธีการในการให้สิทธิประชาชนในองค์กรปกครองท้องถิ่นเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นของประชาชนผู้สิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542 ได้กำหนดหลักเกณฑ์วิธีการในการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นดังนี้
1.เมื่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นได้รวบรวมรายชื่อของประชาชนผู้สนับสนุนได้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือ จำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นครบถ้วนแล้ว จะต้องยื่นเอกสารหลักฐานต่างๆ พร้อมทั้งร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นแก่ประธานสภาท้องถิ่นเพื่อดำเนินการให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น
2.เมื่อประธานสภาท้องถิ่นได้รับเรื่องแล้ว ประธานสภาท้องถิ่นจะต้องตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารดังกล่าว หากถูกต้องประธานสภาท้องถิ่นจะต้องให้มีการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อดังกล่าวไว้ ณ ที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น
3. ในกรณีที่ผู้ใดมีชื่อเป็นผู้เข้าชื่อตามประกาศดังกล่าวโดยมิได้ ร่วมเข้าชื่อ บุคคลนั้นมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องคัดค้านต่อประธานสภาท้องถิ่นหรือบุคคลที่ประธานสภาท้องถิ่นแต่งตั้ง เพื่อให้ขีดฆ่า ชื่อตนเองออกจากบัญชีรายชื่อได้ภายใน 20 วัน นับแต่วันปิดประกาศ หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวแล้วให้ถือว่ารายชื่อของผู้เข้าชื่อที่ไม่มีการคัดค้านเป็นรายชื่อที่ถูกต้อง
4.เมื่อดำเนินการครบถ้วนตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว ประธานสภาท้องถิ่นจะต้องให้สภาท้องถิ่นดำเนินการพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อไป แต่หากจำนวนลายมือชื่อไม่ครบตามที่กฎหมายกำหนด ประธานสภาท้องถิ่นจะต้องแจ้งให้ผู้แทนของผู้เข้าชื่อทราบเพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเพิ่มเติมภายในระยะเวลา 30 วัน และหากพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวแล้วไม่มีการเสนอการเข้าชื่อ ประธานสภาท้องถิ่นก็จะต้องจำหน่ายเรื่องออกไป
1.5 การพิจารณาร่างกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
การพิจารณาร่างกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ได้แยกการออกเป็น 2 ประเภท คือ การพิจารณาร่างกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติ) ของรัฐกับกระบวนการพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น ดังนี้
1.5.1 การพิจารณาร่างกฎหมายของรัฐสภา
เมื่อมีการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายและส่งให้ประธานรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นไปตามกระบวนการนิติบัญญัติปกติของรัฐสภา คือ จะต้องผ่านกระบวนการพิจารณาร่าวงกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) โดยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หลังจากนั้นให้นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาบังคับใช้เป็นกฎหมาย
เมื่อพิจารณาจากระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ของรัฐสภาแล้วจะพบว่าการพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่ประชาชนผู้มีสิทธิออกเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 50,000 คนนี้จะต้องถูกกลั่นกรองมากกว่ากฎหมายที่เสนอโดยรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยพิจารณาดังนี้
1.ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการหรือก่อนหน้านั้นจะต้องมีการพิจารรากลั่นกรองแล้วว่าร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ดังกล่าวเป็นไปตามบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐหรือไม่ กระบวนการเข้าชื่อเสนอกฎหมายหรือไม่ รายชื่อทั้ง 50,000 คน เป็นรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จะต้องจัดเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ
2.การจัดการตรวจสอบร่างกฎหมายว่าถูกต้องหรือไม่ตามหลักเกณฑ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2544 ได้กำหนดให้ร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ต้องแบ่งเป็นมาตราและมีบันทึกประกอบ 2 อย่าง คือ หลักการแห่งร่างกฎหมายและเหตุผลที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งกำหนดไว้ชัดแจ้ง ให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดทำรายงานผลดำเนินงานแห่งร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) และเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร
3.การพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) โดยรัฐสภาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ไม่ได้บัญญัติให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายส่งตัวแทนมานำเสนอหรือตอบข้อซักถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2544 ได้ออกข้อบังคับในหมวด 6 การเสนอและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งร่วมกันเข้าชื่อ กำหนดว่าประธานสภาผู้แทนราษฎรจะอนุญาตให้ตัวแทนผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติชี้แจงด้วยก็ได้ ซึ่งก็เป็นอำนาจดุลพินิจของประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าจะให้มีตัวแทนผู้เสนอร่างกฎหมายเข้าไปชี้แจงด้วยหรือไม่ก็ได้
1.5.2 การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น
การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยสภาท้องถิ่นนั้นให้เป็นไปตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542 มาตรา 6 วรรค 4 กำหนดไว้ว่าการพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นให้เป็นไปตามข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นไป ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นจะมีข้อบังคับที่แตกต่างกันออกไป แต่ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมายท้องถิ่นและท้องถิ่นกำหนดไว้
1.6 ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 แยกพิจารณาได้ 2 ประเภท ดังนี้
1.6.1 ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอ
รัฐสภาสามารถที่จะรับร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย หรือในกรณีที่รัฐสภาลงมติรับร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ก็มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
1.6.2 ผลทางกฎหมายของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอ
ข้อบัญญัติท้องถิ่นถ้าผ่านการพิจารณาของสภาท้องถิ่นแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปแล้ว ก็จะประกาศใช้เป็นข้อบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดไว้
2. การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ผู้วิจัยจะทำการศึกษาถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ... ที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
2.1 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เมื่อพิจารณาศึกษาบุคคลผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 (ฉบับปัจจุบัน) ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ..... ตามที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ยกร่างเสนอต่อคณะรัฐมนตรี สามารถอธิบายได้ดังนี้
2.1.1 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา
ตามมาตรา 163 ได้กำหนดบุคคลผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา
(พระราชบัญญัติ) คือ
“ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 10,000 คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภา เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่กำหนดในหมวด 3 และหมวด 5 แห่งรัฐธรรมนูญนี้
คำร้องขอตามวรรคหนึ่งต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติเสนอมาด้วย
หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามวรรคหนึ่ง สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นชี้แจงหลักการของร่างพระราชบัญญัติและคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจะต้องประกอบด้วยผู้แทนประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนกรรมาธิการทั้งหมด”
2.1.2 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 291 ได้กำหนดบุคคลผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ คือ
“การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้
(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมี
จำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรหรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 50,00 คน ตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้
........
(7)........”
จากบทบัญญัติมาตราดังกล่าวนี้ได้กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50,000 คน เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้นับเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศได้มีสิทธิมีส่วนร่วมในทางการเมืองที่แท้จริงในการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เป็นกติกาสูงสุดของประเทศได้ ซึ่งได้รับแนวคิดดังกล่าวมาจากสวิสเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา ดังเห็นได้จากในรายรายงานประชุมในชั้นกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญในสมัยยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ที่เป็นต้นแบบการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของไทยได้มีการพูดถึงหรืออ้างถึงการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกาและของสวิสเซอร์แลนด์ แต่จำนวนการเข้าชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีความแตกต่างไปจากประเทศไทย คือ ของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ได้กำหนดจำนวนประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย 100,000 คน ส่วนมลรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา คิดเป็นร้อยละ 8 ของจำนวนประชาชนของมลรัฐนั้น หรือในมลรัฐของเยอรมันก็กำหนดจำนวน ไม่น้อยกว่า 20,000 ขึ้นไปทั้งนั้น
2.1.3 ประชาชนผู้มีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 286 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อประธานสภาท้องถิ่นเพื่อให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น จำนวนผู้จำนวนผู้มีสิทธิเข้าชื่อ หลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อ รวมทั้งการตรวจสอบรายชื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542 มาตรา 4 กำหนดให้ประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละท้องถิ่น จำนวนกึ่งหนึ่งเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นต่อประธานสภาแต่ละท้องถิ่นเพื่อพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่น
2.2 ประเภทกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ประชาชนเข้าชื่อเสนอตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550
ประเภทกฎหมายที่ให้สิทธิแก่ประชาชนเข้าชื่อเสนอตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
2.2.1 กฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ)
มาตรา 163 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สิทธิเลือกตั้ง เข้าชื่อเสนอกฎหมายประเภทของกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติ) นั้นจะเสนอได้แต่ในหมวด หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพ กับ หมวด 5 แนวนโยบายแห่งรัฐเท่านั้น
2.2.2 รัฐธรรมนูญ
ได้บัญญัติรับรองไว้ในมาตรา 291 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550กำหนดให้ประชาชนผู้มีเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 คน เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ แต่การแก้ไขเพิ่มเติมนั้นกระทำมิได้ในกรณีที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ
2.2.3 ข้อบัญญัติท้องถิ่น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 286 ได้กำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสิทธิเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542 คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมดในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อกำหนดสิทธิและหลักการให้ประชาชนในท้องถิ่นเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้ ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่ดำเนินการตอบสนองความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นอันอาจส่งผลกระทบต่อสวัสดิการของเด็กและเยาวชนหรือเพื่อความผาสุก แต่อย่างไรก็กฎหมายมิได้กำหนดให้สิทธิประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าชื่อเสนอแก้ไขข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นๆได้
2.3 รูปแบบของร่างกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ได้กำหนดรูปแบบของร่างกฎหมายทั้งที่เป็นกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติ)ร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติม และข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยมีองค์กรปฏิรูปกฎหมายทำหน้าที่ช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายดังกล่าว ดังนี้
2.3.1 รูปแบบของร่างกฎหมายธรรมดาที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา
เมื่อพิจารณารูปแบบของร่างกฎหมายธรรมดา (ร่างพระราชบัญญัติ)ที่ให้สิทธิประชาชน จำนวน 10,000 คน ขึ้นไปเข้าชื่อเสนอกฎหมายตาม มาตรา 163 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ตามที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรี มาตรา 9 ได้กำหนดให้จัดทำร่างกฎหมายธรรมดาที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายในรูปแบบของร่างพระราชบัญญัติซึ่งต้องมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องที่บัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทยหรือ หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ การจัดทำของร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอต้องแบ่งเป็นมาตราที่ชัดเจน เพียงพอที่จะเข้าใจได้ว่ามีความประสงค์จะตรากฎหมายในเรื่องใดและมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้
(1) หลักการแห่งพระราชบัญญัติต้องกำหนดโดยชัดแจ้ง
(2) เหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ
(3) บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
ซึ่งในร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ... นั้นได้กำหนดรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารราต้องมีหลักการในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของประชาชนชาวไทย หรือหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐและในการเสนอร่างพระราชบัญญัติจะต้องมีการบันทึกหลักการและเหตุผลแล้ว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 142 บัญญัติให้ผู้เสนอร่างพระราชบัญญัติต้องจัดทำบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติและต้องนำร่างพระราชบัญญัติที่เสนอนั้นให้ประชาชนทราบและให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลรายละเอียดของร่างพระราชบัญญัติ ที่สำคัญร่างพระราชบัญญัติที่เข้าชื่อเสนอโดยประชาชนนั้นถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงความหมายของร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ตามมาตรา 143 คือ
“มาตรา 143 ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน หมายความรวมถึงร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่งดังนี้
(1) การตั้งขึ้น ยกเลิก ลด เปลี่ยนแปลง แก้ไข ผ่อนหรือวางระเบียบการบังคับอันเกี่ยวกับภาษีหรืออากร
(2) การจัดสรร รับ รักษา หรือจ่ายเงินแผ่นดิน หรือการโอนงบประมาณร่ายจ่ายของแผ่นดิน
(3) การกู้เงิน การค้ำประกัน การใช้เงินกู้หรือการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ
(4) เงินตรา
................
................
...................”
2.3.2 รูปแบบของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เมื่อพิจารณารูปแบบของร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ให้สิทธิประชาชน จำนวน 50,000 คน ขึ้นไปเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ตาม มาตรา 291 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ตามที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรี มาตรา 20 ให้รัฐสภาพิจารณาต้องจัดทำในรูปแบบของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม จะต้องแบ่งเป็นมาตรา และมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้
(1) หลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งต้องกำหนดโดยชัดแจ้ง
(2) เหตุผลในการเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม
(3) บันทึกวิเคราะห์ สรุปสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม
รูปแบบของร่างกฎหมายทั้งที่เป็นกฎหมายธรรมดากับร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้น ประชาชนเสนอได้กำหนดรูปแบบ อย่างเป็นทางการ (Formulated Initiative) ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ.2542 เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
2.3.3 รูปแบบของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เมื่อพิจารณารูปแบบของร่างกฎหมายธรรมดาที่ให้สิทธิประชาชน เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น ตาม มาตรา 286 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ส่วนข้อบัญญัติท้องถิ่นก็ยังใช้หลักการเดิม คือ หลักเกณฑ์และวิธีการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ.2542 คือ ให้เป็นไปตามข้อบังคับแต่ละท้องถิ่นนั้นๆตามที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรงของประชาชนในการให้สิทธิประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
2.4 หลักเกณฑ์และวิธีการในการในการให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
หลักเกณฑ์และวิธีการในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยประชาชนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 โดยพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ...ที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการฯ ดังนี้
2.4.1 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเอง
กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเอง ดังนี้ คือ
1.ในกรณีที่มีผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเองครบ ในกรณีของร่างกฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ) 10,000 คน ให้ยื่นเรื่องต่อประธานรัฐสภา โดยต้องมีเอกสารดังนี้
1)ร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา
2)แบบแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับที่อยู่ ลายมือชื่อ ของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายและแทนการเสนอกฎหมายที่ประธานรัฐสภากำหนด พร้อมทั้งสำเนาบัตรประชาชน บัตรประชาชนที่หมดอายุ หรือบัตรหรือหลักฐานอื่นใดของทางราชการที่มีรูปถ่ายสามารถแดสงตนได้และมีหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้นั้น
2.เมื่อประธานรัฐสภาได้รับเรื่องการเข้าชื่อเสนอกฎหมายให้ทำการตรวจสอบ
และหากมีข้อบกพร่องให้แจ้งผู้แทนการเสนอกฎหมายทราบ ถ้าจำนวนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายไม่ครบจำนวน 10,000 คน ให้แจ้งผู้แทนการเสนอกฎหมายทราบ เพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข่าชื่อเสนอกฎหมายเพิ่มเติมให้ครบ 10,000 คน ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง ถ้าไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาดังกล่าว ให้ประธานรัฐสภาสั่งจำหน่ายเรื่อง
3.เมื่อประธานรัฐสภาได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว ให้จัดให้มีการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายไว้ ณ ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ สำนักงานเทศบาล ที่ทำการองค์กราบริหารส่วนตำบล ที่ทำการผู้ใหญ่บ้าน และเขตชุมชนหนาแน่น ทั้งนี้เฉพาะในเขตท้องที่ที่ผู้ที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน
4.ในกรณีที่ผู้ใดมีชื่อเป็นผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายตามที่ประกาศ โดยที่มิได้ร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายด้วย ให้ผู้นั้นมีสิทธิยื่นคำร้องคัดค้านต่อประธานรัฐสภาหรือบุคคลที่ประธานรัฐสภาแต่งตั้งเพื่อให้ขีดฆ่าชื่อตนเองออกจากบัญชีราบชื่อผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ภายใน 20 วัน นับแต่วันประกาศ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาคัดค้าน ภายใน20 วัน ให้ถือว่ารายชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นเป็นรายชื่อที่ถูกต้องและถ้ามีจำนวนไม่ครบ 10,000 คนให้ประธานรัฐสภาสั่งจำหน่ายเรื่อง
2.4.2 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการจัดการของคณะกรรมการเลือกตั้ง
การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการจัดการของคณะกรรมการเลือกตั้ง ได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการไว้ดังนี้
1. ในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนตั้งแต่ 100 คน ขึ้นไป ประสงค์จะขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ให้ยื่นคำขอต่อประธานกรรมการเลือกตั้งพร้อมทั้งร่างพระราชบัญญัติที่จะเสนอให้รัฐสภาพิจารณา
2.เมื่อประธานกรรมการเลือกตั้งได้รับคำขอจากประชาชน 100 คน ที่ยื่นให้คณะกรรมการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ให้ดำเนินการส่งร่างพระราชบัญญัติและเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการเลือกตั้งแต่งตั้งในแต่ละจังหวัด เพื่อดำเนินการประกาศให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในแต่ละจังหวัดทราบว่ามีการเสนอกฎหมายในเรื่องใด และให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ประสงค์จะร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายไปลงชื่อตามระยะเวลาและสถานที่ที่กำหนด ทั้งนี้ การกำหนดระยะเวลาเข้าชื่อต้องไม่น้อยกว่า 90 วัน นับแต่วันประกาศ
3.ในระหว่างระยะเวลาที่กำหนดให้มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิที่จะเข้าร่วมเสนอกฎหมายในสถานที่ที่กำหนด โดยในการเข้าชื่อนั้นผู้ที่ประสงค์จะร่วมเข้าชื่อจะต้องไปแสดงตนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดหรือผู้ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้ง พร้อมทั้งแสดงบัตรประจำตัวประชาชนหรือหลักฐานอื่นใด ตามที่กำหนดในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งได้ทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้แสดงตนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยถูกต้องจะต้องจัดให้ผู้นั้นกรอกข้อความและลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์การเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
4.เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนดไว้แล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งแต่งตั้งทำหน้าที่รวบรวมแบบพิมพ์ที่มีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายส่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ซึ่งการตรวจสอบความถูกต้องดังกล่าวนี้เป็นอำนาจของเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบหากเห็นว่าถูกต้องให้แจ้งแก่ตัวแทนผู้ยื่นคำขอ พร้อมทั้งจัดทำบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายทั้งหมด พร้อมทั้งประธานกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดส่งร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)และเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมทั้งบัญชีรายชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ได้ร่วมเข้าชื่อเสนอกฎหมายไปยังประธานรัฐสภา
5.เมื่อประธานรัฐสภาได้รับเรื่องเห็นว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์ต่างๆที่กฎหมายกำหนดไว้แล้ว ประธานรับสภาจะต้องดำเนินการให้รัฐสภาพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)นั้นต่อไป ในกรณีที่มีการเข้าชื่อไม่ครบจำนวน 50,000 คน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจำหน่ายเรื่องออกไป
ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการกำหนดการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย คือ เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ นั้นให้ดำเนินการในหลักเกณฑ์วิธีการเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ) แต่ต้องไม่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือการเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้
ซึ่งเอกสารที่หรือหลักฐานประกอบในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายของประชาชนนั้นได้กำหนดให้ประธานรัฐสภามีอำนาจจัดวางระเบียบธุรการในเรื่องการเก็บรักษาและทำลายเอกสารที่เกี่ยวกับการเข้าชื่อเสนอกฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ) และการเข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
ข้อสังเกต ในร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .....ที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ได้ตัดเงื่อนไขของการใช้หลักฐานที่เป็นสำเนาทะเบียนบ้านออก เหลือเพียงหลักฐานที่เป็นบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวประชาชนที่หมดอายุหรือบัตรหรือเอกสารอื่นใดที่มีรูปถ่ายที่ราชการออกให้ก็ได้นั้นเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการรวบรวมหลักฐานของผู้ที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายได้
ส่วนหลักเกณฑ์และวิธีการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ยังคงใช้หลักการเดียวกันที่กล่าวมาแล้วในกระบวนการชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 คือ เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542
2.5 การพิจารณาร่างกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550
การพิจารณาร่างกฎหมายที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 แยกพิจารณาได้ 3 ลักษณะ คือ การพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การพิจารณาร่างกฎหมายธรรมดา (พระราชบัญญัติ) การพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่น ดังนี้
2.5.1 การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่ให้สิทธิประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยรัฐสภา
เมื่อประธานรัฐสภาได้รับเรื่องการเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ทั้งการเข้าชื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญกันเองและการเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญโดยการจัดการของคณะกรรมการเลือกตั้ง หากพิจารณาแล้วเห็นว่าร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและจำนวนเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้รัฐสภาพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นต่อไป
การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมโดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอ ตามมาตรา 291 กำหนดให้มีการพิจารณาแก้ไขรัฐเพิ่มเติมที่เสนอโดยประชาชนและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ คือ
1.การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีการเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
2.การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ
3.เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้ 15 วัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาวาระที่สามต่อไป
4.การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้ายให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะออกให้ใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา
ข้อสังเกต เมื่อพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการให้สิทธิประชาชน 50,000 คน เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 และพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ... ที่กลุ่มงานเข้าชื่อเสนอกฎหมาย สำงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ต่างกำหนดให้มีผู้แทนของประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายเข้าไปชี้แจงหลักและเหตุผลของการเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมและให้ผู้แทนเป็นกรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย
2.5.2 การพิจารณาร่างกฎหมายธรรมดาที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยรัฐสภา
เมื่อประธานรัฐสภาได้รับเรื่องการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ทั้งการเข้าชื่อเสนอกฎหมายกันเองและการเข้าชื่อเสนอกฎหมายโดยการจัดการของคณะกรรมการเลือกตั้ง หากพิจารณาแล้วเห็นว่าหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติและจำนวนผู้เข้าชื่อเสนอกฎหมายถูกต้องครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ให้ส่งเรื่องไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการต่อไป
การพิจารณาร่างกฎหมายธรรมดาที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ มาตรา 163 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้กำหนดวิธีการตรากฎหมายที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอกฎหมายเช่นเดียวกับวิธีการการตรากฎหมายในกระบวนการนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณากระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 พบว่า ร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอ ไม่น้อยกว่า 10,000 คน จะต้องถูกกลั่นกรองมากกว่าร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่เสนอโดยรัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้
1.ในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการหรือก่อนหน้านั้นจะต้องมีการกลั่นกรองว่าร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) เป็นไปตามบทบัญญัติในหมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของประชาชนหรือหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ หรือไม่ กระบวนการเข้าชื่อถูกต้องหรือไม่ รายชื่อทั้ง 10,000 รายชื่อเป็นรายชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
2.การจัดการตรวจสอบร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ว่าถูกต้องตามหลักเกณฑ์การเสนอร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาหรือไม่ ซึ่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพ.ศ. 2551 กำหนดให้ร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) รัฐธรรมนูญที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องแบ่งเป็นมาตรา และมีบันทึกประกอบสองอย่าง คือ หลักการและเหตุผลที่เสนอ ซึ่งเลขาธิการสภาผู้แทนเป็นผู้ตรวจสอบและเสนอต่อรัฐสภาพิจารณา
3.ในการพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) โดยรัฐสภา ทั้งในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต้องให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ที่เสนอ
4.นอกจากให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายได้เข้าไปชี้แจงแล้วยังให้ผู้แทนของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายเข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ) ดังกล่าว ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนของกรรมาธิการทั้งหมดในการพิจารณาร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)
ข้อสังเกต การพิจารณาร่างกฎหมายตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 นั้นแยกการพิจารณาร่างกฎหมายได้ 2 ประเภท คือ
1.รัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมของสภา คือ รัฐสภาจะต้องพิจารณาด้วยกันทั้งสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาร่วมกัน
2. ส่วนร่างกฎหมายธรรมดา คือ ร่างพระราชบัญญัติ จะพิจารณาที่สภาผู้แทนราษฎรก่อนแล้วให้วุฒิสภาพิจารณากลั่นกรองอีกครั้งหนึ่ง แยกพิจารณาดังนี้ ดังนี้
2) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎร การพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นให้กระทำโดยสภาผู้แทนราษฎรก่อนและให้กระทำเป็นสามวาระตามลำดับ
วาระที่หนึ่ง การพิจารณาร่างร่างพระราชบัญญัติในวาระที่หนึ่งให้สภาพิจารณาและลงมติว่าจะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นและเพื่อประโยชน์แก่การวินิจฉัยดังกล่าวจะให้คณะกรรมิการพิจารณาก่อนการรับหลักการก็ได้
ถ้าสภาไม่รับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป แต้ถ้าหากสภารับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติให้สภาพิจารณาตามลำดับต่อไปเป็นวาระที่สอง
วาระที่สอง การพิจารณาในวาระที่สองให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยกรรมาธิการ ที่สภาตั้งหรือกรรมาธิการเต็มสภา แต่โดยปกติ จะเป็นการพิจารณาโดยกรรมาธิการที่สภาตั้ง ส่วนการพิจารณาโดยกรรมาธิการเต็มสภาจะกระทำได้ต่อเมื่อคณะรัฐมนตรีร้องขอ หรือเมื่อสมาชิกเสนอญัตติโดยมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 20 คนและที่ประชุมอนุมัติ ซึ่งจะเป็นการพิจารณารายมาตราในร่างพระราชบัญญัติที่ได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง
วาระที่สาม การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สามไม่มีการอภิปรายและให้ที่ประชุมลงมติว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในกรณีที่สภาลงมติในวาระที่สามไม่เห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป แต่ในกรณีที่สภามีมติในวาระที่สามเห็นชอบด้วยร่างพระราชบัญญัติให้ประธานสภาดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภา
วุฒิสภาต้องพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่เสนอมานั้น ให้เสร็จภายใน 60 วัน แต่ถ้าร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยเรื่องการเงินต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน
2) การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยวุฒิสภา ซึ่งการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยวุฒิสภานั้นกระทำเป็นสามวาระตามลำดับเช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร
วาระที่หนึ่ง ให้วุฒิสภาพิจารณาและลงมติว่า จะเห็นชอบด้วยกับหลักการร่างพระราชบัญญัตินั้นหรือไม่ เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณาวินิจฉัยดังกล่าววุฒิสภาจะให้คณะกรรมาธิการพิจารณาหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติหรือปัญหาใดก่อนก็ได้
ในกรณีที่วุฒิสภามีมติในวาระที่หนึ่ง เห็นชอบด้วยหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปในวาระที่สอง
วาระที่สอง การพิจารณาในวาระที่สอง โดยปกติให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งและที่ประชุมวุฒิสภาตามลำดับ หรืออาจพิจารณาโดยคณะกรรมาธิการเต็มสภาก็ได้ซึ่งขั้นตอนการพิจารณา การแปรญัตติ (ซึ่งเป็นการพิจารณารายมาตรา) ตลอดจนการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว จะมีลักษณะเช่นเดียวกับการพิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร
วาระที่สาม ให้ที่ประชุมลงมติว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรหรือถ้าในการพิจารณาวาระที่สอง ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่แก้ไขเพิ่มเติม ในกรณีเช่นนี้มติแก้ไขเพิ่มเติมให้หมายความว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมตามที่ได้พิจารณาไว้ในวาระที่สอง และมติไม่แก้ไขเพิ่มให้หมายความว่า วุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมการพิจารณาในวาระที่สามไม่มีการอภิปราย
แต่อย่างไรก็ตามวุฒิสภาจะพิจารณากลั่นกรองที่ร่างพระราชบัญญัติผ่านสภาผู้แทนราษฎรนั้น วุฒิสภาจะเห็นชอบหรือไม่เห็นจะต้องดำเนินดังต่อไปนี้
1.กรณีที่วุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ถ้าวุฒิสภาลงมติในวาระที่สาม เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่มีการแก้ไขก็ถือว่าร่างพระราชบัญญัติได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว ให้นายกทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระปรมาภิไธยและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
2.กรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรในกรณีที่วุฒิสภาไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติไว้ก่อน แล้วส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อ เวลา180 วันได้ล่วงพ้นไปนับแต่วุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัติคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร (แต่ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงินให้ยกขึ้นพิจารณาได้ทันที) ในกรณีนี้ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่ามีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรแล้วให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ให้นายกรัฐนมตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระปรมาภิไธยและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
3.กรณีที่วุฒิสภาแก้ไขเพิ่มเติมถ้าในการพิจารณาในวาระที่สองได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติก็ให้วุฒิสภาลงมติในวาระที่สองว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ให้แก้ไขเพิ่มเติม (ในกรณีมีมติแก้ไขเพิ่มเติม ให้หมายความว่าให้แก้ไขเพิ่มเติมตามที่พิจารณาไว้ในวาระที่สอง)
ถ้าวุฒิสภามีมติให้แก้ไขเพิ่มเติม ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติตามที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังภาผู้แทนราษฎร ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายใน 20 วันเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระปรมาภิไธยและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
แต่ถ้าเป็นกรณีอื่นให้แต่ละสภาตั้งบุคคลซึ่งเป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้นๆมีจำนวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด ประกอบเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ และให้คณะกรรมาธิการร่วมกันรายงานและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง ถ้าสภาทั้งสองต่างเห็นชอบด้วยร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายใน 20 วันเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระปรมาภิไธยและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้
ถ้าสภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติไว้ก่อน สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ก็ต่อเมื่อ เวลา 180 วัน ได้ล่วงพ้นไปนับแต่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ ในกรณีนี้ถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาหรือร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่ามีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา ให้นายกรัฐนมตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระปรมาภิไธยและเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมาย
แต่ถ้าทรงไม่เห็นชอบด้วยในร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นและพระราชทานคืนมายังรัฐสภาภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีทูลเกล้าถวาย อันถือว่าทรง ยับยั้ง (VETO) ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ทรง ยับยั้ง (VETO) ร่างพระราชบัญญัติโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ตามรัฐสภาจะต้องพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นอีกครั้งหนึ่ง และหากรัฐสภาลงมติร่างพระราชบัญญัตินั้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา นายกรัฐมนตรีจะต้องนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นทูลเกล้าถวายอีกครั้งหนึ่ง และหากพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยภายใน 30 วัน นายกรัฐมนตรีจึงนำร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นไปประกาศใช้โดยไม่มีพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ แต่ถ้ารัฐสภามีมติยืนยันร่างพระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ทรง ยับยั้ง (VETO) โดยชัดแจ้งหรือปริยายด้วยคะแนนเสียงไม่ถึง 2 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสองสภา ร่างพระราชบัญญัติฉบับนั้นก็ตกไปนำไปประกาศใช้ไม่ได้
5.2.3 การพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่น
การพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นโดยสภาท้องถิ่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. 2542ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 คือให้เป็นไปตามข้อกำหนดหรือข้อบังคับการประชุมของแต่ละสภาท้องถิ่นนั้นๆ กล่าวคือ การพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นมี 3 วาระ ด้วยกัน โดยการเทียบเคียงจากการพิจารณาร่างกฎหมาย แต่รายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นนั้นขึ้นอยู่ในแต่ละสภาท้องถิ่น
2.6 ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 แยกพิจารณาได้ 3 ประเภท คือ
6.2.1 ผลทางกฎหมายของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ประชาชนเข้าชื่อเสนอ
ผลทางกฎหมายที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อรัฐสภาพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเรียบร้อยแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างรัฐธรรมนูญที่แก้ไขเพิ่มเติมจากรัฐสภาเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับได้
6.2.2 ผลทางกฎหมายของร่างกฎหมายที่ประชาชนเสนอ
รัฐสภาสามารถที่จะรับร่างกฎหมาย คือ ร่างพระราชบัญญัติ ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมาย หรือในกรณีที่รัฐสภาลงมติรับร่างกฎหมาย (ร่างพระราชบัญญัติ)ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมายแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำทูลเกล้าฯถวายภายใน 20 วัน พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ร่างพระราชบัญญัติ ที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ก็มีผลใช้บังคับเช่นเดียวกับร่างพระราชบัญญัติ ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
6.2.3 ผลทางกฎหมายของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอ
ข้อบัญญัติท้องถิ่นถ้าผ่านการพิจารณาของสภาท้องถิ่นแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปแล้ว ก็จะประกาศใช้เป็นข้อบัญญัติท้องถิ่น ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมของแต่ละองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดไว้